กิจกรรมเศรษฐกิจไทยเพิ่งกลับไปแตะระดับก่อนโควิดเมื่อสิ้นปี 2566 นับว่าไทยเป็นประเทศที่ฟื้นจากวิกฤตโควิดช้าติดกลุ่มรั้งท้ายในโลก มองไปข้างหน้าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มโตช้าตามระดับศักยภาพเศรษฐกิจไทยที่ลดต่ำลงหลังโควิด สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมมาโดยเฉพาะปัญหาหนี้ครัวเรือน สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยเร่งสูงขึ้นมากตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิด ติดอันดับ 1 ของกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ และติดอันดับ 7 ของโลก (ข้อมูลธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ ณ ไตรมาส 2 ปี 2566) สาเหตุหลักเกิดจากความไม่พร้อมด้านรายได้ของคนไทยที่ฟื้นช้าและไม่ทั่วถึง (K-Shape recovery) คนกลุ่มบนจำนวนน้อยรายได้ฟื้นเร็วและโตดี ในขณะที่คนกลุ่มล่างจำนวนมากยังฟื้นช้า โตต่ำ และกำลังเผชิญปัญหาทางการเงินในทุกมิติ ทั้งด้านรายได้ รายจ่าย ภาระหนี้ และเงินออม โดยกลุ่มครัวเรือนที่รายได้ฟื้นช้าไม่พอรายจ่าย ส่วนใหญ่ทำงานในภาคการผลิตมูลค่าไม่สูง คือ ภาคเกษตร (50%) และภาคบริการ (30%) มีหัวหน้าครัวเรือนอายุมากคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 40% และเรียนจบต่ำกว่าชั้นมัธยมคิดเป็นสัดส่วนถึง 75%
ความไม่พร้อมด้านรายได้ของคนไทยเกิดขึ้นในกลุ่มครัวเรือนรายได้น้อย ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มใหญ่ของประเทศ สาเหตุหลักของความไม่พร้อมด้านรายได้ของคนไทยมาจากผลิตภาพแรงงานที่ปรับลดลงเกือบทุกสาขาการผลิตและยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด โดยแรงงานภาคเกษตรมีผลิตภาพต่ำสุด นอกจากนี้ สัดส่วนแรงงานนอกระบบของไทยยังสูงมากถึง 51% (ปี 2565) ส่วนใหญ่ทำงานในภาคเกษตร ภาคบริการและการค้า ซึ่งมีผลิตภาพไม่สูง
SCB EIC ประเมินกลุ่มคนรายได้น้อยจะเผชิญปัญหาด้านการเงินอีกนาน โดยจากผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey 2566 (สำรวจ ณ 20 ต.ค. - 3 พ.ย 2566 จำนวนตัวอย่าง 2,189 คน) พบว่า
SCB EIC ประเมินว่ากลุ่มครัวเรือนรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนจะยังมีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายนานกว่า 3 ปี โดยเฉพาะครัวเรือนรายได้ไม่ถึง 7,000 บาทต่อเดือนที่จะเผชิญปัญหานี้ต่อเนื่องนานยิ่งกว่านั้น เป็นสัญญาณว่ากลุ่มครัวเรือนระดับล่างยังเปราะบางและมีแนวโน้มจะเป็นหนี้อีกนาน ส่งสัญญาณว่าปัญหาหนี้ครัวเรือนยังน่ากังวลในอนาคต
นโยบายเตรียมความพร้อมจึงจำเป็นต่อการฟื้นตัวด้านรายได้ของคนไทยและเศรษฐกิจไทยได้อย่างทั่วถึง SCB EIC มองหากเศรษฐกิจไทยจะเติบโตสูงขึ้นได้อย่างยั่งยืน และมีระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจที่กลับมาสูงขึ้นได้อีกครั้ง จำเป็นต้องอาศัยชุดนโยบายระยะสั้นเพื่อช่วยกลุ่มคนเปราะบางที่ยังไม่ฟื้นตัว ควบคู่กับชุดนโยบายระยะยาวเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกันให้คนไทยและป้องกันการกลับมาเป็นหนี้
นโยบายระยะสั้น ลดค่าครองชีพ เสริมสภาพคล่องเพื่อช่วยเหลือกลุ่มคนรายได้น้อยที่ยังเปราะบาง (Targeted) มีความจำเป็น เพื่อให้สามารถมีคุณภาพชีวิตและผ่านพ้นผลกระทบจากวิกฤตนี้ไปได้ ซึ่งเป็นมิติทางสังคมเพิ่มเติมจากมิติความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ตลอดจนความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเจ้าหนี้ในระบบในการให้คำปรึกษาแก้หนี้ให้ลูกหนี้อย่างเหมาะสม นำระบบการให้สินเชื่อที่คิดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงลูกหนี้แต่ละราย (Risk-based pricing) มาใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ และมีการผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลให้สถาบันการเงินและ Non-bank สามารถปล่อยสินเชื่อครัวเรือนกลุ่มเปราะบางได้มากขึ้น
นโยบายระยะยาว มุ่งเพิ่มรายได้และสวัสดิการให้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ปรับทักษะแรงงาน ลงทุนการศึกษา และสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินส่วนบุคคลและครัวเรือน รวมถึงชุดนโยบายระยะยาวด้านอื่น ๆ เช่น 1) การผลักดันให้ธุรกิจ SMEs และครัวเรือนประกอบอาชีพอิสระสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบที่มีต้นทุนการเงินเหมาะสมได้มากขึ้น 2) การเร่งดึงดูด FDI เพื่อขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมและบริการใหม่ 3) การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานยกระดับการแข่งขันของประเทศ
อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็มได้ที่... https://www.scbeic.com/th/detail/product/consumer-survey-110124
16 มกราคม 2567
ผู้ชม 61 ครั้ง