3 ตุลาคม 2567 สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดแถลงผลการศึกษาความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) สำหรับบริการดิจิทัลของปี 2567 เผย 5 ด้านสำคัญที่ใช้ในการประเมินความพร้อมขององค์กร และนำไปสู่แนวทางการส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยี AI ในภาคธุรกิจ/ อุตสาหกรรม ที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากทุกภาคส่วน ได้ร่วมให้ข้อคิดเห็นในประเด็นต่างๆ
คุณรจนา ล้ำเลิศ ที่ปรึกษาฝ่ายอำนวยการและทรัพยากรบุคคล หัวหน้าทีมศูนย์ธรรมาภิบาลปัญญาประดิษฐ์ ETDA กล่าวว่า การศึกษาในครั้งนี้ นับเป็นการดำเนินการต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะได้ทราบถึงสถานการณ์และข้อมูลสำคัญ ที่แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี AI จากปีที่แล้ว (ปี 2566) ซึ่งเป็นปีแรกที่ได้มีการศึกษาสถานภาพความพร้อมในการประยุกต์ใช้ AI ของภาคส่วนต่างๆ ของไทยและได้ทำเป็นข้อมูล Baseline เอาไว้ อีกทั้งช่วยชี้ให้เห็นโอกาสและอุปสรรคในการพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ในสาขาหรือกลุ่มธุรกิจที่สำคัญ เพื่อนำไปสู่ข้อเสนอแนะในการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาและใช้งานสำหรับบริการดิจิทัล อย่างสร้างสรรค์และมีธรรมาภิบาล รวมทั้ง เพื่อเป็นการสนับสนุนการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศระยะ 6 ปี (พ.ศ. 2565 – 2570) ให้บรรลุเป้าหมายต่อไป
นอกจากนี้ ยังจะช่วยยกระดับมาตรฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (AI Governance) และผลักดันประเทศให้มีการประยุกต์ใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ เป็นกลไกในการขับเคลื่อนนโยบายด้านการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ ส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ ตลอดจนการส่งเสริมให้เกิดการพัฒนามาตรฐานหรือกฎเกณฑ์ในการใช้งานเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อให้เชื่อมโยงกันได้ มีความมั่นคงปลอดภัย และมีความน่าเชื่อถือ ครอบคลุมทั้งในเรื่องจริยธรรมและธรรมาภิบาล หรือ AI Ethics and Governance, การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน, การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม, การเพิ่มศักยภาพของคนและการส่งเสริมให้เกิดการประยุกต์ใช้งาน อันเป็นพันธกิจสำคัญของ ETDA ซึ่งจากผลการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ในการศึกษาและวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ความพร้อมของการประยุกต์ใช้ AI ใน 10 กลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายนี้ ได้สะท้อนให้เห็นว่า ETDA ยังคงต้องมุ่งเน้นพัฒนาแนวทางปฏิบัติต่างๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ในปัจจุบัน ตลอดจนการสร้างความร่วมมือที่เกี่ยวข้อง เพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนเกิดการประยุกต์ใช้งาน AI ในทุกกิจกรรม บนพื้นฐานความสอดคล้องตามหลักธรรมาภิบาล อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสม และยั่งยืน
ดร.กัลยา อุดมวิทิต รองผู้อำนวยการ สวทช. รายงานว่า การศึกษาครั้งนี้ได้มีการดำเนินการรวบรวมข้อมูลจาก 3 ส่วนด้วยกัน คือ การประชุมความเห็นของผู้เชี่ยวชาญจากผู้แทนหน่วยงาน/ องค์กรที่มีบทบาทสำคัญ การประชุมรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย และการสำรวจโดยใช้แบบสอบถาม เพื่อนำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาประกอบการวิเคราะห์และจัดทำเป็นข้อเสนอแนะมาตรการเพื่อเตรียมความพร้อมต่อไป จากการศึกษาพบว่า องค์กร/หน่วยงานในประเทศไทย ได้เริ่มมีการใช้งาน AI แล้ว และมีแนวโน้มใช้งานมากขึ้น ตัวอย่าง เช่น ในกลุ่มการศึกษา กลุ่มการเงินและการค้า ก็มีการนำ AI มาช่วยตรวจสอบข้อมูล แนะนำผลิตภัณฑ์ทางการเงิน การอนุมัติสินเชื่อ และประเมินความเสี่ยง ในกลุ่มการแพทย์และสุขภาวะ ใช้ AI มาช่วยตรวจสอบความครบถ้วนของเครื่องมือผ่าตัด และช่วยในการวินิจฉัยและตัดสินใจของแพทย์ เป็นต้น
การศึกษาครั้งนี้ได้ปรับปรุงตัวชี้วัด 13 มิติจากปีที่แล้วของดัชนีการวัด 5 ด้าน ได้แก่ (1) ด้านยุทธศาสตร์และความสามารถขององค์กร (2) ด้านข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน (3) ด้านบุคลากร (4) ด้านเทคโนโลยี และ (5) ด้านธรรมาภิบาล ดำเนินการสำรวจหน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จำนวน 10 กลุ่ม ตามที่ระบุในแผนปฏิบัติการ AI ได้แก่ เกษตรและอาหาร การใช้งานและบริการภาครัฐ การแพทย์และสุขภาวะ อุตสาหกรรมการผลิต พลังงานและสิ่งแวดล้อม การศึกษา ท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ความมั่นคงและปลอดภัย โลจิสติกส์และการขนส่ง และการเงินและการค้า ซึ่งผลที่ได้จากการประเมินตามด้านต่างๆ จะนำไปสู่การแบ่งความพร้อมขององค์กรได้เป็น 4 ระดับ คือ ระดับ Unaware = ยังไม่มีความตระหนัก/ อยู่ในช่วงเริ่มต้นเรียนรู้, Aware = มีความตระหนักและเริ่มนำ AI ไปใช้งานแล้ว, Ready = มีความพร้อมในการนำ AI ไปใช้งาน และ Competent = มีความเข้มแข็งในการใช้งาน AI
สรุปผลการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่ส่งแบบสอบถามทั้งสิ้น 3,758 หน่วยงาน ในช่วงเวลา 75 วัน (เดือน ก.ค.- ก.ย. 2567) ได้ข้อมูลกลับมาทั้งสิ้น 580 หน่วยงาน พบว่า หน่วยงานที่มีการนำ AI มาใช้งานในองค์กรแล้ว 17.8% ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วเล็กน้อย ส่วนหน่วยงานที่มีแผนที่จะนำมาใช้ในอนาคต 73.3% และที่ยังไม่มีแผนที่จะใช้ AI 8.9% ดังนั้น จึงคาดการณ์ได้ว่าในอนาคตองค์กรในประเทศไทยจะมีนำ AI มาประยุกต์ใช้เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน ทั้งนี้ องค์กรที่มีการประยุกต์ใช้งาน AI มีเป้าหมายสำคัญ 3 อันดับแรก ได้แก่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตหรือการให้บริการขององค์กร เพื่อใช้ในการบริหารจัดการภายในองค์กร และ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ และ/หรือบริการขององค์กรให้แก่องค์กร ตามลำดับ
ผลการสำรวจยังพบว่า องค์กรที่มีการนำ AI มาใช้งานแล้ว มีความพร้อมเฉลี่ยอยู่ที่ 55.1% หรืออยู่ในระดับ “Aware” ซึ่งหมายถึง องค์กรมีความตระหนักถึงความสำคัญของเทคโนโลยี AI และเริ่มนำเทคโนโลยี AI มาประยุกต์ใช้ในองค์กร โดยเมื่อพิจารณาแยกลงไปในแต่ละด้าน (Pillar) พบว่า ด้านที่มีความเข้มแข็งมากที่สุด คือ ด้านข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน (ประกอบด้วย รูปแบบและคุณภาพของข้อมูล และ โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่จำเป็นต่อการใช้งาน AI) โดยมีคะแนนเฉลี่ยความพร้อมในด้านนี้อยู่ที่ 65.5% ซึ่งจัดอยู่ในระดับ “Aware” โดยกลุ่มที่มีความพร้อมอยู่ในระดับต้นๆ ได้แก่ กลุ่มการเงินและการค้า
กลุ่มโลจิสติกส์และการขนส่ง และ กลุ่มการศึกษา ทั้งนี้ การที่หน่วยงานมีความพร้อมโดยเฉพาะในด้านข้อมูลสูง สาเหตุหนึ่งมาจากในห้วงเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยมีความตื่นตัวในเรื่องของ Big Data และเห็นความสำคัญของการนำข้อมูลมาวิเคราะห์ในมุมมองต่างๆ ตามที่องค์กรให้ความสนใจ สำหรับด้านที่มีคะแนนเฉลี่ยในระดับรองลงมาได้แก่ ด้านบุคลากร ด้านยุทธศาสตร์และความสามารถขององค์กร ด้านธรรมาภิบาล และด้านเทคโนโลยี ตามลำดับ
สำหรับองค์กรที่ปัจจุบันยังไม่มีการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในองค์กร ได้ให้เหตุผลที่น่าสนใจ 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) ยังอยู่ในช่วงของการศึกษาข้อมูล เนื่องจากยังไม่ทราบว่าจะนำ AI มาประยุกต์ใช้อย่างไร (2) รอนโยบายจากผู้บริหารที่จะเห็นความจำเป็นในการนำ AI มาใช้ และ (3) องค์กรยังขาดความพร้อมและต้องการการสนับสนุนในด้านงบประมาณ รวมถึงยังต้องคำนึงถึงความคุ้มค่าในการลงทุนต่างๆ เพื่อให้สามารถนำ AI มาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
ประเด็นและแนวโน้ม ที่น่าสนใจจากการศึกษาในปี 2567 นี้ได้แก่ ด้าน Generative AI พบว่า องค์กรมีใช้ Generative AI ไปเพื่อสนับสนุนการทำงานในด้านหลายด้าน โดยงาน 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) ด้านการพัฒนาสินค้าหรือบริการ/การวิจัยและพัฒนา (2) ด้านการตลาด การขายและบริการลูกค้า และ (3) ด้านกระบวนการผลิต ในขณะที่อุปสรรคสำคัญในการใช้งาน Generative AI คือ (1) องค์กรขาดบุคลากรที่มีทักษะ (2) องค์กรมีความกังวลเกี่ยวกับคุณภาพของข้อมูลที่นำมาใช้งาน และ (3) องค์กรยังขาดเงินทุนสำหรับการจัดซื้อและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้สามารถใช้งานได้ นอกจากนี้ ประเด็นที่น่าสนใจคือ ยังไม่พบว่าองค์กรใดเลยที่มีนโยบายที่จะเลิกการจ้างคนทั้งหมด แม้ว่างานในส่วนนั้นจะสามารถนำ Generative AI มาใช้แทนได้ก็ตาม แต่เน้นการพัฒนาบุคลากรให้สามารถทำงานร่วมกับ Generative AI ให้มากขึ้น
จากผลการสำรวจดังกล่าว นำมาสู่ข้อเสนอแนะเพื่อเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ได้แก่
1. Human development หรือ การพัฒนาทักษะ AI ในทุกระดับ เช่น ผลิต AI Talent, ให้มี AI Engineer, พัฒนาหลักสูตรที่เกี่ยวข้อง และพัฒนาคุณวุฒิวิชาชีพด้าน AI รวมถึงความตระหนักรู้ AI Governance เป็นต้น
2. AI Cost and Productivity หรือ การสนับสนุนโดยภาครัฐในการช่วยให้ต้นทุนของการใช้ AI ลดลง และการส่งเสริมการใช้ AI ให้เกิดความคุ้มค่า
3. Ethics and Governance หรือ ธรรมาภิบาล AI เช่น แนวปฏิบัติ AI Governance และ การพัฒนา AI Risk Management Framework เป็นต้น
4. Consultancy Services หรือ การสร้างความตระหนักและสนับสนุนให้เกิดสภาพแวดล้อมที่รองรับการขยายตัวของ AI เช่น มีศูนย์บริการเฉพาะด้านเพื่อให้คำปรึกษา (AI Consulting Clinic), ศูนย์ทดสอบและขึ้นทะเบียนนวัตกรรม AI และ การทำ AI Readiness Measurement เป็นต้น
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ ในฐานะผู้ช่วยเลขาคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติฯ กล่าวว่า ผลการศึกษาครั้งนี้จะเป็นข้อมูลสำคัญในการสนับสนุนการจัดทำแผนการดำเนินการเพื่อส่งเสริมและพัฒนา AI ในระยะที่ 2 ให้เป็นไปอย่างตรงเป้าหมายได้มากขึ้น ตลอดจนเป็นการสร้างโอกาสที่จะนำผลการศึกษาไปต่อยอดและพัฒนานโยบาย แผนการดำเนินงาน แนวทางขับเคลื่อนร่วมกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนเกิดประยุกต์ใช้งาน AI ในทุกกิจกรรมอย่างเหมาะสม มากที่สุดต่อไป ตามยุทธศาสตร์ทั้ง 5 ด้านในแผนฯ ได้แก่ (1) ด้านจริยธรรมและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง ที่มุ่งเน้นการสร้างความตระหนักและให้มีศูนย์บริการให้คำปรึกษาด้าน AI (2) ด้านโครงสร้างพื้นฐานและข้อมูลสำหรับ AI ที่เน้นพัฒนา AI Service Platform บนโครงข่าย GDCC ที่จะสนับสนุนภาครัฐและภาคธุรกิจมากขึ้น (3) ด้านการพัฒนากำลังคน เพื่อเพิ่มผู้เชี่ยวชาญและวิศวกรด้าน AI ให้เพียงพอต่อการเติบโต (4) ด้านวิจัยและพัฒนา ด้วยการกำหนด Flagship Project เช่น Thai Large Language Model (LLM) เพื่อสนับสนุนการใช้ Generative AI ในธุรกิจไทย และขึ้นทะเบียนผลงานนวัตกรรม AI และสุดท้าย (5) ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้งาน AI ได้แก่ การร่วมขับเคลื่อน Tech. Startup เพื่อให้เกิดนวัตกรรมและการสร้างสรรค์งานบริการด้าน AI ในประเทศไทยให้เพิ่มขึ้น เป็นต้น
07 ตุลาคม 2567
ผู้ชม 32 ครั้ง